วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555

น้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์


น้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์
เพิ่มคำอธิบายภาพ
น้ำมันหอมระเหยดอกลาเวนเดอร์ เป็นน้ำมันหอมระเหยที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก เนื่องจากมีประโยชน์หลาย ๆ อย่างในด้าน Aromatherapy น้ำมันหอมระเหยมีคุณสมบัติหลายอย่าง เช่น ช่วยให้อากาศบริสุทธิ์ ฆ่าเชื้อโรค ต้านแบคทีเรีย บรรเทาอาการปวด และรักษาสมดุลย์ของระบบประสาท น้ำมันหอมระเหยมีลักษณะใสไม่มีสีหรือมีสีเหลืองอ่อน ๆ มีกลิ่นหอมหวานของดอกลาเวนเดอร์ เนื่องจากกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์และคุณสมบัติทางการบำบัดรักษาที่หลายหลาย น้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์จึงได้รับความนิยมอย่างมากในการนำไปใช้ในอุตสาหกรรมน้ำหอมและเครื่องหอมต่าง ๆ

ในด้านการบำบัดรักษา น้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์มีคุณสมบัติหลักในการช่วยระงับประสาท ให้รู้สึกสงบและผ่อนคลายทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ช่วยคลายอาการตึงตัวของกล้ามเนื้อในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย สามารถนำน้ำมันหอมระเหยไปใช้หยด 2-3 หยดในอ่างอาบน้ำก่อนเข้านอนเพื่อช่วยให้ผ่อนคลายและนอนหลับสบายยิ่งขึ้น ช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับอันเนื่องมาจากความเครียด หรือความผิดปกติต่างๆ ของระบบประสาทที่มีผลต่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หรือจะนำไปใช้โดยการกระจายกลิ่นน้ำมันหอมระเหยในอากาศด้วยเตาน้ำมันหอมระเหยก็ได้ จะช่วยให้ อากาศสะอาดและบริสุทธิ์ อีกทั้งยังสามารถนำไปเจือจางเพื่อนวดเบา ๆ บริเวณขมับเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดไมเกรนได้อีกด้วย
เพิ่มคำอธิบายภาพ

ในด้านความงามและการบำรุงผิว น้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์เป็นน้ำมันหอมระเหยเพียงไม่กี่ชนิดในโลกที่สามารถนำไปใช้ได้โดยตรงกับผิวหนัง โดยไม่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองเหมือนน้ำมันหอมระเหยชนิดอื่น ๆ ด้วยคุณสมบัติที่ต้านอาการอักเสบและฆ่าเชื้อได้ดี จึงสามารถนำไปรักษาอาการอักเสบของสิว โดยแต้มน้ำมันหอมระเหยลาเวนเดอร์บาง ๆ บริเวณที่เป็นสิวจะช่วยลดการอักเสบและช่วยให้สิวยุบเร็วขึ้น อีกทั้งยังช่วยรักษาแผลให้สมานเร็วขึ้นและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ รักษาอาการฟกช้ำ บรรเทาอาการของโรคผิวหนังต่าง ๆ ได้ดี สามารถนำไปผสมร่วมกับน้ำมันหอมระเหย Rose Otto, German Chamomile และ Immortelle เจือจางในน้ำมัน Carrier Oil เช่น Rosehip เพื่อใช้เป็นผลิตภัณฑ์ Anti-Aging ช่วยลดเลือนริ้วรอยอันเนื่องมาจากวัย หรือป้องกันการเกิดแผลเป็น ลดเลือนรอยแผลเป็นจากสิวหรือแผลต่าง ๆ และปรับสภาพผิวให้นุ่มเนียนได้ดี

วิธีการปลูกลาเวนเดอร์


วิธีการปลูกลาเวนเดอร์

ทุ่งลาเวนเดอร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีทั้งหมด 7 สายพันธุ์ แต่สายพันธุ์อื่นนั้นจะไม่ค่อยออกดอกเท่ากับ 7 สายพันธุ์ที่ปลูกอยู่ ณ ดอยอ่างขาง ดอกลาเวนเดอร์นั้นจะมีลักษณะเป็นช่อชูขึ้นมาและมีกลีบสีม่วงเข้ม สำหรับการขยายพันธุ์นั้นจะมีด้วยกัน 2 แบบ คือ การปักชำ และการเพาะเมล็ด ต้นลาเวนเดอร์ที่เกิดจากการเพาะเมล็ดนั้น จะใช้เวลา 6 เดือนถึงจะออกดอก แต่ถ้าเป็นการปักชำจะใช้เวลา 3 4 เดือน สถานที่ปลูกต้องอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 800 - 1,200 เมตร สภาพภูมิอากาศ: ลาเวนเดอร์ ต้องการอากาศหนาวเย็นในการเจริญเติบโต สามารถทนทานต่อสภาพน้ำค้างแข็งได้เป็นอย่างดี วัสดุปลูก: ควรมีความร่วมซุยสูง สามารถระบายน้ำได้ดี และเร็ว เนื่องจากลาเวนเดอร์ไม่ชอบให้ส่วนของรากเปียกชื้นเป็นเวลานาน สภาพดินที่ดีควรจะมีค่าความเป็นกรด- ด่างประมาณ 6-7 คุณภาพของดินที่จะส่งเสริมให้ลาเวนเดอร์ผลิตน้ำมันหอมระเหยให้ได้ปริมาณมาก และมีคุณภาพที่ดีนั้น ควรมีความสมบูรณ์ระดับต่ำ ปุ๋ย: ดินที่เป็นด่าง หรือมีปริมาณปูน หรือโดโลไมท์สูง จะส่งเสริมการเจริญเติบโตของลาเวนเดอร์ได้เป็นอย่างดี ไม่ควรใส่ปุ๋ยคอกที่ได้จาก หมู หรือไก่ ในปริมาณที่มากเกินไป จะเป็นการเพิ่มปริมาณ ไนโตรเจน เกินกว่าที่พืชต้องการได้ปุ๋ยที่ใช้สามารถใช้สูตรเสมอทั่วไปก็ได้ อัตราต่อต้นประมาณ 3-4 กรัม ทุกๆ 15-20 วัน การปลูกลาเวนเดอร์ลงกระถางอาจจะใช้ปุ๋ยละลายช้าสูตรเสมอ(16-16-16) ได้เช่นกัน ข้อมูลอื่นๆ: 1. ไม่ควรทำการพรวนดินบริเวณรอบๆต้น เพราะจะเป็นการทำลายระบบรากได้ ซึ่งจะส่งผลให้ต้นชะงักการเจริญเติบโต และยังเป็นการเปิดดอกกาศให้เชื้อราเข้าทำลายได้อีกทางหนึ่งด้วย 2. ควรกำจัดวัชพืชบริเวณรอบๆต้นให้หมดไป

สรรพคุณดอกลาเวนเดอร์

สรรพคุณดอกลาเวนเดอร์

สรรพคุณของดอกลาเวนเดอร์ในเรื่องเวชสำอางค์
เอสเซนเชียลออยล์จากดอกลาเวนเดอร์จะนิยมใช้กันโดยทั่วไป ด้วยคุณสมบัติในการผ่อนคลายและระงับประสาท จึงช่วยระงับความตึงเครียดและทำให้หลับสบาย อุดมไปด้วยกลิ่นหอมผ่อนคลาย ทั้งยังเลื่องชื่อในสรรพคุณการฆ่าเชื้อ สามารถรักษาบาดแผลเล็กๆ แค่พียงสูดดม ก็สามารถช่วยลดอาการเจ็บคอและหลอดลมได้ นอกจากนี้ ดอกลาเวนเดอร์ยังสามารถใช้ผสมน้ำอาบ เพื่อรักษาอาการปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ และยังช่วยฆ่าเชื้อ ต่อต้านการอักเสบ รักษาบาดแผล ผวิหนังที่ระเคยเคือง พุพองได้เป็นอย่างดี

คุณจึงวางใจได้ในผลิตภัณฑ์จากลาเวนเดอร์ของ L'OCCITANE ทุกชิ้น สัมผัสถึงความสุขและความทรงจำเมื่อยามหลับตาสูดกลิ่นกรุ่นของสายลมแห่งโพรวองซ์เมื่อยามพัดผ่านทิวทุ่งลาเวนเดอร์ ประหนึ่งได้ยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งลาเวนเดอร์อย่างแท้จริง

สรรพคุณนานัปการของดอกลาเวนเดอร์
  • เพื่อประพรมบนผ้าลินิน - เราจะวางถุงลาเวนเดอร์เล็กๆ ไว้ในลิ้นชัก หรือตู้เสื้อผ้า
  • เพื่อช่วยให้หลับสบาย - หยดลาเวนเดอร์เอสเซนเชี่ยลออยล์ 2- 3 หยด ลงบนหมอนก่อนเข้านอน
  • เพื่อช่วยในระบบย่อยอาหาร - เพียงผสมดอกลาเวนเดอร์เข้าด้วยกัน
  • เพื่อผ่อนคลายความเครียด - ฉีด หรือ พ่นลาเวนเดอร์เอสเซนเชี่ยลออยล์ในห้องของคุณ
  • เพื่อลดอาการอักเสบจากบาดแผลไหม้, แมลงกัดต่อย, และไมเกรน - เพียงหยดลาเวนเดอร์ 2-3 หยดลงบนผิวหนัง
  • เพื่อใช้อาบน้ำและช่วยผ่อนคลาย - หยดลาเวนเดอร์เอสเซนเชี่ยลออยล์ 2-3 หยด ผสมเข้ากับนม เพราะลาเวนเดอร์ออยล์ไม่ละลายในน้ำ

ภาพความทรงจำของโอลิวิเย่ร์ โบส์ซอง
"ฉันเติบโตขึ้นในทุ่งดอกลาเวนเดอร์ที่กำลังผลิบาน โลกใบนี้ช่างสวยงาม เปรียบเหมือนกระจกที่สะท้อนเห็นภาพท้องฟ้าสีครามไปทั่วทั้งทิวทุ่งดอกลาเวนเดอร์ มันเป็นช่วงเวลาอันสวยงามของฤดูร้อน เพราะทิวเขา Contadour ถูกปกคลุมไปด้วยดอกลาเวนเดอร์สีฟ้า ยามฉันหลับตาลง ฉันจะได้กลิ่นหอมฟุ้งของดอกไม้ที่ฝูงผึ้งยังมิอาจต้านทาน ณ ที่ราบสูงแห่งแคว้นโพรวองซ์แห่งนี้ ที่ซึ่งผู้คนยอมนั่งคุกเข่า เพื่อเก็บเกี่ยวดอกไม้ของเขา ราวกับว่าเขากำลังทำความเคารพเทพเจ้ายังไงยังงั้น"

สถานที่ปลูกดอกลาเวนเดอร์

สถานที่ปลูก

  • สถานที่ปลูกต้องอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 800 - 1,200 เมตร
  • น้ำมันต้องได้มาจากการต้มกลั่นดอกลาเวนเดอร์บริสุทธิ์ด้วยไอน้ำ (มิใช่จากสารละลาย)
  • กระบวนการผลิตต้องผ่านการตรวจสอบจากรัฐบาล ตัวอย่างต้องได้รับการทดสอบต่างๆ
  • ผลผลิตของเอสเซนเชี่ยลออยล์ต้องอยู่ที่ 25 ก.ก. / พื้นที่ปลูก 10,000 ตร.ม.
  • ต้องเป็นเอสเซนเชี่ยลออยล์บริสุทธิ์ที่ไม่มีสิ่งเจือปนใดๆ
  • ต้องได้รับใบรับรองคุณภาพจาก INAO (Institut National des Appellations d'Origine)                                                 ดอกลาเวนเดอร์คุณภาพสูงจะเก็บเกี่ยวได้ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคมถึงปลายเดือนสิงหาคม เพราะเป็นช่วงที่ดอกลาเวนเดอร์ผลิตเอสเซนเชี่ยลออยล์ได้มากที่สุด โดยช่วงเวลาเก็บเกี่ยวดอกลาเวนเดอร์ในแต่ละที่แตกต่างกันออกไปตามระดับความสูง และความชื้นของสภาพอากาศ โดยระดับความสูงจะเป็นปัจจัยหลักในกระบวนการผลิตเอสเซนเชี่ยลออยล์ ยิ่งสูงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเพิ่มปริมาณเอสเซนเชี่ยลออยล์ได้มากเท่านั้น

ความหมายลาเวนเดอร์

ความหมายLavandula

 "ลาเวนเดอร์"มีที่มาจากภาษาลาติน "lavare" หมายถึง "ชำระล้าง" ซึ่งคนสมัยก่อนก็นิยมใช้พืชหอมสารพัดประโยชน์ชนิดนี้กันอย่างแพร่หลาย ในช่วงที่มีโรคติดต่อระบาดในกลุ่มชาวเปอร์เซียน กรีก และโรมัน พวกเขาจะนำกิ่งของดอกลาเวนเดอร์มาเผา เพื่อป้องกันโรคติดต่อระบาด ในช่วงต้นศตวรรษที่ประเทศฝรั่งเศส หญิงรับจ้างซักผ้า (washerwomen) ก็ยังใช้ดอกลาเวนเดอร์แช่ไว้ในอ่างอาบน้ำ พวกเขาจะวางดอกลาเวนเดอร์ไว้ในตะกร้าผ้าและตามตู้เพื่อให้ผ้าลินินมีกลิ่นหอม และป้องกันแมลง เรื่องของดอกลาเวนเดอร์มีที่มาแตกต่างกันไป แต่กระนั้นก็ยังถือเป็นพืชในตระกูล "Lamiaceae" โดยล็อกซิทานจะเลือกใช้เฉพาะดอกลาเวนเดอร์แท้ (Lavandula Angustifolia and Lavandula Stoechas) ไม่ว่าจะด้วยการปลูกหรือขึ้นเองตามธรรมชาติ เพราะลาเวนเดอร์ 2 สายพันธุ์นี้จะให้เอสเซนเชี่ยล ออยล์คุณภาพสูง ซึ่งเป็นที่ยอมรับทั่วโลกและนิยมใช้ในการผลิตน้ำหอม การผลิตทางเคมี หรือศาสตร์บำบัด

ไฟน์ลาเวนเดอร์(Lavandula Angustifolia)
 Angustifolia หมายถึง ใบไม้ใบเล็กๆ พืชชนิดนี้เติบโตในดินบนพื้นที่แคบๆ และมีลำต้นเรียวเล็ก สีฟ้าอ่อน และไม่ชอบความแออัด นับแต่ปี 1981 ผู้ผลิตลาเวนเดอร์จากที่ราบสูงแห่งแคว้นโพรวองซ์ได้รับมาตราฐานกระบวนการผลิต ที่เรียกว่า A.O.C. (Apellation d'Origine Controlee) ซึ่งรับประกันถึงคุณภาพเอสเซนเชียลออยล์ที่ผลิตได้ เพื่อแข่งขันกับสายพันธุ์บัลกาเรียน ฉลากนี้บ่งชี้ถึงคุณภาพชั้นสูงในการผลิต โดยล็อกซิทานได้สกัดเอสเซนเชียลออยล์จากชาวไร่ในเมือง Sault และพื้นที่โดยรอบ และจะสั่งซื้อดอกลาเวนเดอร์ A.O.C. จากที่ราบสูงโพรวองซ์ถึงเกือบ 20 % ของจำนวนที่ผลิตได้ ซึ่งเราจะใช้แต่เอสเซนเชียลออยล์จากดอกลาเวนเดอร์ A.O.C. เท่านั้น
 ด้วยความพิถีพิถันต่างๆ เอสเซนเชี่ยลออยล์จากลาเวนเดอร์ของ L'OCCITANE จึงได้รับการรับรองคุณภาพ A.O.C. จากกระทรวงสาธารณสุข ประเทศฝรั่งเศส